December 17, 2007

I AM LEGEND

I Am Legend หนังฟอร์มยักษ์ท้ายปีที่หลายคนต่างตั้งตารอคอย จากตัวอย่างหนัง
ที่ปล่อยออกมา เราก็สามารถคาดเดาได้ไม่ยากว่านี่จะต้องเป็น หนัง action ผีดิบอย่าง
แน่นอน แต่ความรู้สึกแรกหลังจากที่ก้าวออกมาจากโรงหนัง ฉันกลับคิดว่าเพิ่งได้ดูหนัง
แนว drama (ปน sci-fi นิด ๆ) ต้องยอมรับเลยว่าผู้เขียนบทคิดธีมเรื่องได้ดีมาก (ฉันอาจจะต้องหาหนังสือมาอ่านซะแล้ว)
ส่วนตัวของหนังก็ทำออกไม่ได้ค่อนข้างดี ที่ฉันประทับใจมากก็เห็นจะเป็นรายละเอียดต่าง ๆ
โดยเฉพาะสัญลักษณ์ที่ผู้เขียนเลือกใช้ดี
การวิเคราะห์ต่อไปนี้เป็นความคิดเห็นของฉันเพียงคนเดียว ดังนั้นจะยินดีมากหากมีความคิดเห็นมุมอื่นเสนอแนะ

ประเด็นหลัก ๆ ของเรื่องเห็นจะเป็นเรื่องของความเชื่อ ความศรัทธาในพระเจ้าของชาวคริสต์ ตัวเอกของเรื่อง Robert Neville มีพัฒนาการในด้านนี้อย่างเด่นชัด จากคนที่ไม่มีศรัทธาเลยกระทั่งเปลี่ยนมาเป็นคนที่มีศรัทธาในตอนท้าย “ผีเสื้อ” สัญลักษณ์สำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมากล่าวในเรื่องอยู่เป็นระยะ ๆ มีความหมายถึง ความศรัทธา การเปลี่ยนร่าง (transformation) รวมถึงการให้กำเนิด (rebirth)

ในความหมายของศรัทธา ที่ฉันกล่าวว่า Neville ในตอนแรกนั้นไม่มีศรัทธาในพระเจ้า เห็นได้จากตอนที่ลูกสาวของเขาพยายามบอกให้ดูผีเสื้อ นอกจากจะไม่สนใจแล้วเขายังสั่งให้เงียบอีกด้วย เป็นการกระทำที่แสดงออกถึงอาการไม่ยอมรับในศรัทธา เพราะฉะนั้น Neville จึงเปรียบเสมือนตัวแทนของกลุ่มคนที่นับถือศาสนาคริสต์หากแต่ไม่ศรัทธาในพระเจ้า คนกลุ่มนี้เสมือนเป็นคนที่อยู่ตรงกลางระหว่างกลุ่มคนที่เป็นคริสเตียนที่เคร่งมาก ๆ และกลุ่มที่ต่อต้านคริสต์ศาสนาซึ่งถูกถ่ายทอดออกมาเป็นพวกผีดิบ Dark Seekers นอกจากนี้ประเด็นในเรื่องของศรัทธาต่อพระเจ้ายังได้ถูกเน้นย้ำชัด ๆ อีกครั้งในฉากที่พระเอกไล่ล่ากวาง ซึ่งหากสังเกตฉากนี้จะมีแผ่นประกาศติดอยู่บนผนังตึกมีใจความเกี่ยวกับข้อสงสัยในอำนาจของพระเจ้าอีกด้วย

พวก Dark Seekers ก็เป็นอีกสัญลักณ์หนึ่งที่ผู้เขียนเลือกใช้ได้อย่างชาญฉลาด คำว่า Dark บ่งบอกถึงความชั่วร้าย ซึ่งพวก Dark Seekers ก็ไม่สามารถสู้แสงแดดได้ เป็นการเน้นย้ำลงไปอีกในประเด็นของ dark กับ light ซึ่งมีความหมายในทางตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง สิ่งที่ชั่วร้ายก็มันจะไม่กล้าสู้บแสงแห่งความดี

ในความหมายของ transformation หรือการเปลี่ยนร่าง ฉันไม่ได้มองว่าเป็นการเปลี่ยนในแง่กายภาพ แต่การเปลี่ยนนี้เป็นการเปลี่ยนจากคนที่ไม่มีแม้ศรัทธาในพระเจ้ากลายมาเป็นคนที่ศรัทธาในท้ายที่สุด จากตอนต้นเรื่องที่ Neville ไม่รับฟังลูกสาวเกี่ยวกับผีเสื้อ กระทั่งจุดที่ศรัทธาเริ่มก่อกำเนิดขึ้นในใจเขาเมื่อพบกับหญิงสาวที่มีรอยสักรูปผีเสื้อที่ต้นคอ เพราะไม่เพียงแต่หญิงผู้นี้มีศรัทธาในพระเจ้าอย่างมากเท่านั้น เธอยังเป็นผู้ที่นำมาซึ่งศรัทธาในกับตัวละครเอกของเราอีกด้วย แต่ที่ฉันประทับใจมากที่สุดกับการเล่นความหมายนี้ก็คือ ในช่วง climax ของเรื่องเมื่อ Neville ตระหนักได้ถึงศรัทธาที่เขาได้ปิดกั้นมาเป็นเวลานานได้ถูกจุดประกายขึ้น แล้วภาพได้ถูกตัดออกมาเป็นมุมที่เราเห็น Neville จากด้านนอกประตูกระจกที่ร้าวไปทั้งบานนั้น มันเป็นรูปของปีกผีเสื้อที่กางออกอย่างสวยงามโดยที่มี Neville ยืนอยู่ระหว่างปีกทั้งสองข้างนั้นดุจเหมือนเข้าเป็นดักแด้ที่เพิ่งฟักออกมาเป็นผีเสื้อ...นี่ก็คือความหมายของ Transformation ที่แฝงอยู่ในสัญลัษณ์ผีเสื้อ

ส่วนความหมายสุดท้าย rebirth หรือ การให้กำเนิด เห็นได้จากตัวละครที่เกี่ยวของกับสัญลักษณ์ผีเสื้อทุกตัวเป็นตัวละครที่มีเพศหญิง ซึ่งมีนัยถึงการให้กำเนิด ดังนั้นจึงไม่ใช่ความบังเอิญที่หญิงสาวซึ่งมีรอยสักรูปผีเสื้อและลูกของ Neville ต้องเป็นผู้หญิง (แม้กระทั่งสุนัขคู่ใจของพระเอก Samanthaก็ยังเป็นเพศเมีย) เพราะเพศหญิงเป็นเพศที่ให้กำเนิดชีวิตนั่นเอง ที่ชัดเจนที่สุดก็เห็นจะเป็นตอนที่หญิงสาวคนนี้มาช่วยชีวิตพระเอกจากฝูง Dark Seekers ได้ทันท่วงทีโดยสาดไปเข้าใส่พวกมัน เพราะภาพที่ถ่ายทอดออกมาเป็นเหมือนกับตอนที่ทารกได้โผล่พ้นออกมาจากครรภ์มารดาแล้วเจอกับแสงอันสว่างจ้า

จากทั้งหมดที่ฉันสามารถเก็บได้จากหนังเรื่องนี้ ยิ่งทำให้ฉันอยากอ่านมันในเวอร์ชั่นหนังสือมากขึ้นไปอีก เพราะฉันไม่แน่ใจว่าจะต้องชื่นชมใครมากกว่ากันระหว่างคนเขียนกับผู้กำกับ เพราะรายละเอียดในแง่มุมเหล่านี้ได้ถูกซ่อนไว้อย่างแนบเนียนในหนังที่ไม่มีคาดคิดว่าจะสามารถนำมาถ่ายทอดประเด็นเกี่ยวกับศาสนาได้ โดยรวมแล้วฉันให้คะแนนหนังเรื่องนี้ 8.5 จาก 10 เพราะติดกับตอนจบที่ฉันคิดว่ามันยังรู้สึดขัด ๆ อีกนิดหน่อย

October 24, 2007

เวลาที่ไม่เคยหยุดเดิน

ติ๊กต่อก...ติ๊กต๊อก...ติ๊กต่อก...ติ๊กต่อก...ติ๊ดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

“ขออีกสัก 10 หรือ 5 นาทีก็ยังดี ให้ตายสิ่ ขอฉันนอนอีกนิดไม่ได้หรือไง!”

“ฉันอยากอยู่กับเขานานกว่านี้จังเลย ทำไมเวลาเดินเร็วอย่างนี้ล่ะ อยากจะหยุดเวลาไว้อย่างนี้นาน ๆ จัง”

“โอ๊ย ! ปั่นรายงานไม่ทันแล้ว เวลาจ๋าเดินช้าลงอีกหน่อยไม่ได้หรอไงเนี่ย”

“เย็นวันศุกร์สักที ไปเที่ยวไหนดีหว่า...เวลาเดินเร็ว ๆ หน่อยสิ่ ฉันเบื่องานจนจะบ้าตายอยู่แล้วนะ !”

ฉันว่าใครหลาย ๆ คนคงจะเคยบ่นอะไรเกี่ยวกับเวลาเทือก ๆ นี้กันมาบ้างอย่างแน่นอน -- บ้างก็อยากจะหยุดเวลาไม่ให้เดิน บ้างก็อยากจะเร่งให้เวลาเดินเร็ว ๆ บ้างก็อยากจะดึงให้เวลาเดินช้าลง หรือบ้างก็อยากให้มีเวลาเพิ่มขึ้น แต่ในความเป็นจริงเวลาก็ยังมีจังหวะการเดินและจำนวนในแต่ละวินาทีเท่าเดิม

ฉันเคยลองคิดเล่น ๆ มันคงจะดีหากฉันสามารถควบคุมเวลาได้ ~ เวลาเช้าฉันจะขอหยุดเวลานอนต่ออีก สักวันละ 5 นาที เวลาที่ทำงานเหนื่อยจะขอหยุดเวลาพักเครียดสัก 10 นาที เวลากำลังสนุกอยู่กับเพื่อนจะ ให้เวลาเดินช้าลงหน่อย หรือให้เวลาในช่วงวันหยุดมีเพิ่มขึ้นสักเท่าตัวนึง ! O_o หากฉันทำแบบนั้นโลก ก็คงจะวุ่นวายพิลึกคุณว่ามั๊ย ?

แต่การที่เวลายังคงเดินไปตามจังหวะที่คงที่ของมัน ก็มากำหนดให้ชีวิตเราต้องเดินหน้าตามมันไปด้วย ฉันรู้สึกว่ามันเหมือนกับการที่เราวิ่งอยู่บนลู่วิ่งไฟฟ้านะ เมื่อลู่เริ่มหมุนเราก็ต้องเริ่มวิ่ง ถ้าไม่วิ่งก็จะตกลู่ ซึ่งหากทรงตัวได้ไม่ดีก็จะหกล้มบาดเจ็บได้ เวลาก็เป็นเสมือนลู่วิ่งไฟฟ้านี่แหละเพียงแต่เราปรับให้มันหมุนเร็ว หรือช้าลงตามใจเราไม่ได้ ซึ่งมันก็เป็นความยากที่เราจะต้องวิ่งไปให้ทันกับเวลาที่หมุนไป และเราก็ไม่สามารถกดปุ่มหยุดเวลาที่เราเหนื่อยอยากจะพักได้ วิ่งนานเข้าก็จะเหนื่อย แต่หากจะหยุดแล้วมองดูเวลา เดินหน้าต่อไป การจะกลับขึ้นไปวิ่งบนลู่เวลานี้ต่อก็อาจจะยากเสียหน่อยเพราะจังหวะการวิ่งที่ไม่สอดคล้องกับจังหวะการเดิน ของเวลาจะทำให้เราเสียจังหวะ เสียการทรงตัว...หกล้มลงได้

เพราะฉะนั้นสำหรับฉันเวลาจึงเป็นตัวแปรสำคัญตัวหนึ่งต่อการดำเนินชีวิตของฉันทั้งชีวิตเลยทีเดียว ฉันต้องตั้งหลักให้ดี รักษาจังหวะการวิ่งให้ดีเพื่อไม่ให้เหนื่อยเร็วจนเกินไป หรือเสียการทรงตัวจนล้มลงไป ไอ้เรื่องเหนื่อยเนี่ยมันต้องมีแน่ ๆ ใครจะไปวิ่งทันเวลาได้ตลอดล่ะ...หรือใครคนนั้นก็คงไม่ใช่ฉัน เพียงแต่ ฉันไม่อยากให้ตัวเองเหนื่อยเร็วเกินไป หรือเหนื่อยที่จะวิ่งตามเวลามากเกินไป และฉันก็ไม่อยากล้มลงระหว่างวิ่งตามเวลาด้วย ที่ผ่านมาฉันก็มีเซ ๆ ไปบ้าง แต่ก็ยังพอกลับมาวิ่งตามทันจังหวะของเวลาได้ไหว ฉันคิดว่าหากได้วิ่งไปจนชินกับจังหวะแล้ว ฉันก็น่าจะรับมือกับเวลาที่ยังคงมุ่งหน้าเดินอย่างไม่รู้จักเหนื่อย นี้ได้ไม่ยากเย็นมากมายนัก

ในเมื่อเวลายังคงหมุนไปข้างหน้า...ฉันก็ต้องก้าวเดินไปข้างหน้าเหมือนกัน

แต่ถึงจะรู้ทั้งรู้ว่าเวลาซึ่งเป็นสิ่งมีค่าและอยู่เหนือการควบคุมแล้วก็เถอะ ชีวิตที่ผ่านมาฉันก็สูญเสียเวลาอันมีค่าไปไม่ใช่น้อย

ฉันรู้สึกเสียใจอยู่บ่อย ๆ ว่าทำไม ณ ช่วงเวลานั้น ๆ ฉันถึงไม่ทำอะไรให้มันคุ้มค่ากับเวลาที่ผ่านไปทุกวินาทีนะ

และบ่อยครั้งที่ฉันมารู้สึกตัวช้าเกินไป...โอกาสที่จะทำบางสิ่งบางอย่างหลุดลอยไป...เหลือไว้เพียงความเสียใจ--ความเจ็บใจที่ต้องนั่งมองโอกาสห่างจากไปไกลทุกที ๆ ปล่อยให้ฉันจมอยู่กับคำว่า “หากเพียงแต่ฉันจะย้อนเวลากลับไปได้”

ฉันเสียเวลาในแต่ละวัน--มากบ้างน้อยบ้างตามอารมณ์--หมกมุ่นอยู่กับประโยคนี้ คิดทบทวนย้อนไปถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ฉันปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างสิ้นเปลืองทำสิ่งที่ไม่ควรทำ และจินตนาการว่าหากย้อนกลับไปได้ฉันจะทำทุกอย่างให้คุ้มค่ากับทุกวินาที...แต่เพราะฉันย้อนเวลากลับไปไม่ได้...ไม่มีใครทำได้...นี่ล่ะที่เจ็บปวด Y____Y

ฟังดูเหมือนกับฉันกำลังวิ่งไปข้างหน้าแต่หันหัวมองกลับหลังอยู่เลยนะ ด้วยเหตุนี่แหละมั๊ง ที่ทำให้ฉันต้องเซระหว่างการวิ่งตามเวลาอยู่บ่อย ๆ การจะควบคุมตังเองให้มองไปข้างหน้าขณะวิ่งอย่างเดียวนั้น สำหรับฉันมันช่างยากเย็นเสียเหลือเกินที่ผ่านมาที่ฉันทำได้คือบังคับให้หันกลับไปมองข้างหลังน้อยที่สุด...

นอกจากจะเป็นนักเดินทางที่ไม่เอาไหนแล้ว ฉันยังเป็นนักวิ่งที่ไม่เอาอ่าวอีกด้วย...

October 1, 2007

“เพื่อนร่วมทาง”

แม้ว่าการเดินทางของฉันจะเริ่มต้นมาได้ระยะหนึ่งแล้ว แต่ฉันเพิ่งจะรู้ซึ้งถึงข้อคิดที่มีคนเคยพูดกับฉันว่า

“จะแน่ใจได้อย่างไรว่าทางที่เราเดินอยู่นั้นมันเป็นทางที่ถูกต้องแล้ว”

...นั่นน่ะสิแล้วทางที่ฉันเดินอยู่นี่มันเป็นทางที่ถูกต้องและจะพาฉันสู่จุดหมายปลายทาง ?...

ฉันเริ่มลังเลและหวั่น ๆ ขึ้นมานิด ๆ ว่าถ้าหากฉันเดินในทางที่ผิดมาตลอดฉันจะทำอย่างไรดี ? แต่มันก็คงป่วยการหากจะมานั่งกังวลกับทางที่ได้เลือกเดินมาไกลขนาดนี้แล้วจริงมั๊ย...?

ฉันลุกขึ้นยืน ปัดฝุ่นที่เกาะตามเสื้อผ้า พลางทอดสายตาไปยังฝั่งตรงข้ามโฟกัสไปที่กระเป๋าเป้ใบคุ้นเคยเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะก้าวเท้าเดินห่างจุดที่สายตาโฟกัสออกไปทุกที ๆ ... ขณะที่ก้าวเดินไป ฉันได้ยินคำพูดนั้นก้องซ้ำ ๆ อยู่ในหัว ฉันต้องการเป้ใบเก่งของฉันเสียเหลือเกินในเวลาเช่นนี้ อย่างน้อยก็อุ่นใจล่ะว่ามันมีเข็มทิศที่จะบอกทิศทางให้กับฉันได้ ถึงแม้ว่าตัวฉันเองจะอ่านมันไม่ออกก็เถอะ ฉันยังสามารถให้นักเดินทางที่ผ่านมาสอนฉันได้นี่นา้....“นักเดินทาง”--- ทำไมฉันถึงไม่คิดให้เร็วกว่านี้นะ !!!

ที่จริงแล้วฉันไม่ได้ต้องการกระเป๋าเป้ที่มีอุปกรณ์เดินป่าที่ครบครัน หรือมีเข็มทิศที่ฉันดูไม่เป็นสักหน่อยนี่นา สิ่งที่ฉันต้องการมาตลอดคือ “เพื่อนเดินทาง” ต่างหาก

ใช่แล้ว...!

“เพื่อนเดินทาง” ที่จะคอยช่วยเหลือและปรึกษาเส้นทาง คอยระแวดระวังภัยให้กันและกัน ฉันคิดมาตลอดว่านักเดินทางต้องเดินทางเพียงลำพังเพราะต่างก็มีจุดหมายปลายทางที่ไม่เหมือนกัน ถูก--ที่นักเดินทางมีจุดหมายปลายทางของตนในใจ ติด--ที่นักเดินทางไม่จำเป็นต้องเดินทางอย่างโดดเดี่ยว เพราะบางทีการมี “เพื่อนร่วมทาง” อาจทำให้ถึงจุดหมายได้เร็วขึ้น!

ฉันอยากได้เพื่อนร่วมทางสักคนเดินทางไปกับฉัน และถึงแม้ว่าในท้ายที่สุดเราต้องลาจากกันเมื่อถึงทางแยกที่มุ่งสู่จุดหมายปลายทางของแต่ละคน แต่อย่างน้อยระหว่างทางที่เราเดินขนานเคียงคู่กันไปฉันก็ไม่เหงา...เราต่างไม่เหงา...

ตลอดทางที่ฉันเคยมีเป้คู่ใจอยู่นั้น ถึงจะอุ่นใจแต่มันก็เป็นเพียงกระเป๋าใบนึงที่ไม่เคยจะตอบโต้อะไรกับฉันได้เลย ตอนนี้ฉันอยากได้สักคนที่จะโต้ตอบความสุขความทุกข์ตลอดการเดินทางร่วมกัน

ใครสักคนที่ทำให้การเดินทางที่ไม่รู้จบนี้เป็นการเดินทางที่น่าตื่นเต้นและท้าทายอย่างน้อยก็ในทางช่วงหนึ่ง

และใครสักคนที่จะทำให้ฉันรู้สึกว่าบนเส้นทางสู่จุดหมายปลายทางของฉันนี้ ไม่ได้มีเพียงฉันเพียงลำพัง...

September 4, 2007

กระเป๋าที่อีกฝั่งแม่น้ำ

โชคชะตานี่ก็ชอบเล่นตลกกับชีวิตมนุษย์ตัวเล็ก ๆ เสียเหลือเกิน...คุณว่ามั๊ย
เอ...หรือว่าจะเป็นใจคนกันนะ ที่มันช่างรวนเรทำชีวิตใครต่อใครต้องปั่นป่วน ?
ฉันว่ามันน่าจะเป็นเพราะทั้งสองอย่างนั่นแหละที่ทำให้ชีวิตของฉันป่วนปั่นเสียเหลือเกิน

สายตาที่ทอดไปเบื้องหน้าไกลเท่าที่คนสายตาสั้นอย่างฉันจะมองเห็นได้กระทบ
กับวัตถุอย่างหนึ่ง...ไม่อยากจะเชื่อนั่นมันกระเป๋าเป้เจ้ากรรมที่ฉันตัดใจปล่อย
ให้กระแสน้ำพัดไปเพื่อเอาชีวิตรอดมาได้อย่าง หวุดหวิดในคราวก่อนนี่นา!!!
ใจดวงน้อยเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ มันต้องเป็นกระเป๋าใบเก่าแต่เป็นใบเก่งของฉันแน่ๆ
โอ...ถ้าใช่ฉันควรจะทำอย่างไรดีล่ะ ฉันอุตส่าห์ได้เดินตัวเบาอยู่ไม่กี่วัน แต่ฉันก็เสียดายมันอยู่เหมือนกันนะ...
ฉันสับสนไปหมดรู้สึกเหมือนมีเทวดาและซาตานตัวน้อยกำลังเถียงกันอย่างเอาเป็นเอาตายบ่นบ่าทั้งสองข้างของฉัน
ว่าฉันควรจะไปคว้ามันกลับมาแบกเหมือนก่อนหรือเดินผ่านไปดี...

น่าตลกจริง ๆ โชคชะตาทำให้ฉันต้องทิ้งเป้ไป แต่มันก็ทำให้ฉันต้องกลับมาเจออีกอย่างนั้นหรือ
ที่น่าขันกว่านั้นคือ ใจฉันที่มันกลับลังเลขึ้นมาน่ะสิ
หรือว่าเป็นเพราะเจ้ากระเป๋าเป้แสนอ้วนใบนั้นที่มันอยากกลับมาอยู่บนหลังฉันกันนะ
...นี่ฉันเป็นอะไรไปเนี่ย!!!
ฉันยังจำทุกรายละเอียดของมันได้ดี สภาพภายนอกของมันถึงจะดูไม่เก่านัก แต่เพราะฉันไม่ระวังเลยทำให้ข้างในมีรอยขาดเต็มไปหมด
อาจเป็นเพราะของที่ฉันบรรจุลงไปมีปลายคมและฉันก็ไม่ระมัดระวังมากพอ ทำให้มันมีรอยขาดยาว 2 รอยซึ่งยังเห็นเป็นรอยเย็บอยู่เลย
นี่ยังไม่นับรอยขาดอีดนิด ๆ หน่อย ๆ ที่ถ้าไม่สังเกตก็คงมองไม่เห็น

ความทรงจำปรากฎในความคิดฉันเหมือนหนังที่ฉายบนผืนผ้าใบฉากแล้วฉากเล่า
ฉันเริ่มรู้สึกเสียดายขึ้นมาแล้วสิ โดยไม่รู้ตัว ฉันสาวเท้าก้าวยาวและเร็วขึ้นหวังอยากให้ไปถึงกระเป๋าเป้โดยเร็ว
รู้ตัวอีกทีเท้าฉันมาหยุดอยู่ริมแม่น้ำที่ถึงแม้จะไม่กว้างมากมายนัก แต่ก็กว้างและลึกพอที่จะฆ่าคนที่ว่ายน้ำไม่เป็นอย่างฉันได้
นั่น...กระเป๋าของฉันนอนเกยฝั่งอยู่โน่นไง...มันคือของฉันแน่แล้ว...ฉันจำมันได้ดี
โอ...เสียแต่ว่ามันเกยอยู่ที่อีกฝั่งแม่น้ำน่ะสิ ลำธารสายนั้นคงไหลมาบรรจบกับลำธารสายอื่น ๆ ที่แม่น้ำนี้ ฉันจะทำอย่างไรดี ?

ฉันรู้ว่าฉันก็สามารถเดินต่อไปได้ ถึงแม้ไม่ได้แบกกระเป๋าเป้ใบเก่งใบนั้น...แต่...
ความทรงจำมากมายทำให้ฉันไม่อยากจะทิ้งมันไว้อย่างนั้น
ตอนนี้ฉันนั่งลงและกำลังใช้ความคิดว่าควรจะพยายามไปเอามันกลับคืนมาดีไหม ?
คราวนี้ฉันจะไม่รีบ ยังมีเวลาให้ฉันคิด (ถึงแม้จะไม่นานนัก แต่ก็มากพอจะได้คำตอบสุดท้าย...จริง ๆ)
ฉันจะถือโอกาสพักไปในตัวด้วย เมื่อฉันได้คำตอบและลุกขึ้นมันจะต้องเป็นคำตอบสุดท้าย
หากฉันเลือกจะข้ามแม่น้ำไปหยิบมัน นั่นหมายความว่าฉันเอาชีวิตเสี่ยงเพื่อไปหยิบมาดังนั้นฉันจะไม่ยอมทิ้งมันอีก
แต่หากฉันเลือกที่จะเดินผ่านไป ฉันก็จะไม่หันหลังกลับมามองมันอีก...

August 29, 2007

Life Is A Journey

มีคนเคยพูดว่า “ชีวิตกับการเดินทางไม่แตกต่างกันหรอก
เราไม่สามารถคาดเดาเส้นทาง หรือแม้กระทั่งบอกไม่ได้ด้วยซ้ำว่านี่เรามาถูกทางแล้ว หรือเรากำลังหลงทางอยู่
ก็คงเหมือนกับชีวิตคนเรานั่นแหละ...เราไม่สามารถจะคาดเดาไ้ด้เลยว่าตลอด
การเดินทางของชีวิตนี้จะต้องพบเจอกับเหตุการณ์อะไรบ้าง
ฉันเองก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่าทิศที่ฉันกำลังเดินอยู่นี้จะนำพาฉันไปสู่จุดหมายปลายทางได้หรือเปล่า
หากวางแผนการใช้ชีวิตนั้นคงทำได้อยู่หรอก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะสามารถเดินตามแผนที่วางไว้ได้เป๊ะ ๆ จริงมั๊ย...?
กระทั่งพรานนำทางเก่ง ๆ อย่างรพินทร์ ไพรวัณยังพาหลงได้เลย

ถ้าอย่างนั้นฉันคงถูกจัดอยู่ในประเภทนักเดินทางที่ไม่เอาไหน
ถึงแม้จะดูมั่นใจและ (เหมือนจะ...) ชำนาญในเส้นทางที่เดิน...
ถึงแม้้เตรียมทุกอย่างมาอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นแผนที่ เข็มทิศ เสบียง และข้าวของ (ทั้งที่จำเป็นและไม่จำเป็น)
แต่แท้ที่จริงฉันไม่มั่นใจเลยสักนิดเดียว ฉันไม่รู้เส้นทาง หรือแม้กระทั่งจุดหมายที่จะต้องเดินทางไป
ฉันอ่านแผนที่ไม่ออก เข็มทิศก็ดูไม่เป็น และข้าวของที่เตรียมมาก็มากเกินความจำเป็น
ทุกก้าวที่่ย่างเท้าออกไป ฉันรู้สึกได้ถึงน้ำหนักของสิ่งของที่แบกพะรุงรังหนักขึ้น ๆ
อยากจะปลดกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ (เกินขนาดตัว) บนหลังออกเสียให้ได้
แต่ก็กลัวว่าในภายหน้าอาจจำเป็นต้องใช้สิ่งของในกระเป๋าเป้ใบนั้นน่ะสิ
ก็เลยกัดฟันเดินแบกกระเป๋าที่มีสิ่งของทั้งที่จำเป็นและ (ส่วนใหญ่) ไม่จำเป็นต่อไป
ตาคอยมองแผนที่และเข็มทิศ (ที่ดูไปก็ไม่รู้เรื่อง) เป็นระยะ ๆ
ในใจก็คิดว่าที่นี่มันที่ไหนกัน และเรากำลังเดินไปที่ไหน หวั่นใจตลอดเวลาว่าจะเดินไปถึงจุดหมายไหม
จะถึงเมื่อไหร่ เอ...หรือจะเดินกลับดี? แต่เดินมาไกลขนาดนี้แล้วเดินต่อน่าจะดีกว่าเดินกลับ
...แล้วฉันก็เดินต่อ....

ในตอนที่เดินอย่างเหนื่อยอ่อนและท้อแท้ ฉันเดินมาพบลำธาร
แน่นอนฉันอดใจไม่ไหวที่จะขอไปสัมผัสสายน้ำเย็นชุ่มช่ำเสียหน่อย
เพราะไม่ระวังฉันเดินมาถึงกลางลำธารที่ซึ่งกระแสน้ำพัดฉันล้มลง
โชคยังดีที่คว้ากิ่งไม้ได้ทัน ฉันจึงไม่ถูกพัดลอยเท้งเต้งไปตามกระแสน้ำเชี่ยว
แต่ว่ากระเป๋าเป้ใบอ้วนของฉันมันกำลังจะลอยไปตามน้ำแล้วน่ะสิ
ฉันรู้ว่าถ้าฉันฝืนจับมันต้านกระแสน้ำไว้อย่างนี้ อีกไม่นานฉันจะหมดแรงและถูกน้ำพัดไป
ถึงแม้จะเสียดายกระเป๋าที่เฝ้าแบกมา แต่ฉันก็ต้องเลือกชีวิตตัวเองไว้ก่อน
ฉันมองมันลอยห่างออกไป และตะเกียกตะกายขึ้นฝั่งอย่างทุกลักทุเล...แต่ฉันก็รอดมาได้
หลังจากพักสักหน่อย ฉันก็พร้อมเดินทางต่อ
ทว่าเมื่อเดินมาได้สักระยะ (เมื่อไม่มีกระเป๋าใบอ้วนนั่น ก็เดินสบายดีนะ ถึงแม้จะโหวง ๆ ไปบ้าง)
ฉันมองเห็นกระเป๋าใบใหญ่ของฉันถูกน้ำพัดเกยริมฝั่งลำธารอยู่ไกล ๆ
ตอนนี้ฉันยังคงหาข้อสรุปไม่ได้ว่าฉันควรจะวิ่งไปหยิบกระเป๋ามาแบกเหมือนเดิมดีไหม
หรือว่าการเดินตัวเปล่าแบบนี้น่าจะดีกว่า...?