August 29, 2007

Life Is A Journey

มีคนเคยพูดว่า “ชีวิตกับการเดินทางไม่แตกต่างกันหรอก
เราไม่สามารถคาดเดาเส้นทาง หรือแม้กระทั่งบอกไม่ได้ด้วยซ้ำว่านี่เรามาถูกทางแล้ว หรือเรากำลังหลงทางอยู่
ก็คงเหมือนกับชีวิตคนเรานั่นแหละ...เราไม่สามารถจะคาดเดาไ้ด้เลยว่าตลอด
การเดินทางของชีวิตนี้จะต้องพบเจอกับเหตุการณ์อะไรบ้าง
ฉันเองก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่าทิศที่ฉันกำลังเดินอยู่นี้จะนำพาฉันไปสู่จุดหมายปลายทางได้หรือเปล่า
หากวางแผนการใช้ชีวิตนั้นคงทำได้อยู่หรอก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะสามารถเดินตามแผนที่วางไว้ได้เป๊ะ ๆ จริงมั๊ย...?
กระทั่งพรานนำทางเก่ง ๆ อย่างรพินทร์ ไพรวัณยังพาหลงได้เลย

ถ้าอย่างนั้นฉันคงถูกจัดอยู่ในประเภทนักเดินทางที่ไม่เอาไหน
ถึงแม้จะดูมั่นใจและ (เหมือนจะ...) ชำนาญในเส้นทางที่เดิน...
ถึงแม้้เตรียมทุกอย่างมาอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นแผนที่ เข็มทิศ เสบียง และข้าวของ (ทั้งที่จำเป็นและไม่จำเป็น)
แต่แท้ที่จริงฉันไม่มั่นใจเลยสักนิดเดียว ฉันไม่รู้เส้นทาง หรือแม้กระทั่งจุดหมายที่จะต้องเดินทางไป
ฉันอ่านแผนที่ไม่ออก เข็มทิศก็ดูไม่เป็น และข้าวของที่เตรียมมาก็มากเกินความจำเป็น
ทุกก้าวที่่ย่างเท้าออกไป ฉันรู้สึกได้ถึงน้ำหนักของสิ่งของที่แบกพะรุงรังหนักขึ้น ๆ
อยากจะปลดกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ (เกินขนาดตัว) บนหลังออกเสียให้ได้
แต่ก็กลัวว่าในภายหน้าอาจจำเป็นต้องใช้สิ่งของในกระเป๋าเป้ใบนั้นน่ะสิ
ก็เลยกัดฟันเดินแบกกระเป๋าที่มีสิ่งของทั้งที่จำเป็นและ (ส่วนใหญ่) ไม่จำเป็นต่อไป
ตาคอยมองแผนที่และเข็มทิศ (ที่ดูไปก็ไม่รู้เรื่อง) เป็นระยะ ๆ
ในใจก็คิดว่าที่นี่มันที่ไหนกัน และเรากำลังเดินไปที่ไหน หวั่นใจตลอดเวลาว่าจะเดินไปถึงจุดหมายไหม
จะถึงเมื่อไหร่ เอ...หรือจะเดินกลับดี? แต่เดินมาไกลขนาดนี้แล้วเดินต่อน่าจะดีกว่าเดินกลับ
...แล้วฉันก็เดินต่อ....

ในตอนที่เดินอย่างเหนื่อยอ่อนและท้อแท้ ฉันเดินมาพบลำธาร
แน่นอนฉันอดใจไม่ไหวที่จะขอไปสัมผัสสายน้ำเย็นชุ่มช่ำเสียหน่อย
เพราะไม่ระวังฉันเดินมาถึงกลางลำธารที่ซึ่งกระแสน้ำพัดฉันล้มลง
โชคยังดีที่คว้ากิ่งไม้ได้ทัน ฉันจึงไม่ถูกพัดลอยเท้งเต้งไปตามกระแสน้ำเชี่ยว
แต่ว่ากระเป๋าเป้ใบอ้วนของฉันมันกำลังจะลอยไปตามน้ำแล้วน่ะสิ
ฉันรู้ว่าถ้าฉันฝืนจับมันต้านกระแสน้ำไว้อย่างนี้ อีกไม่นานฉันจะหมดแรงและถูกน้ำพัดไป
ถึงแม้จะเสียดายกระเป๋าที่เฝ้าแบกมา แต่ฉันก็ต้องเลือกชีวิตตัวเองไว้ก่อน
ฉันมองมันลอยห่างออกไป และตะเกียกตะกายขึ้นฝั่งอย่างทุกลักทุเล...แต่ฉันก็รอดมาได้
หลังจากพักสักหน่อย ฉันก็พร้อมเดินทางต่อ
ทว่าเมื่อเดินมาได้สักระยะ (เมื่อไม่มีกระเป๋าใบอ้วนนั่น ก็เดินสบายดีนะ ถึงแม้จะโหวง ๆ ไปบ้าง)
ฉันมองเห็นกระเป๋าใบใหญ่ของฉันถูกน้ำพัดเกยริมฝั่งลำธารอยู่ไกล ๆ
ตอนนี้ฉันยังคงหาข้อสรุปไม่ได้ว่าฉันควรจะวิ่งไปหยิบกระเป๋ามาแบกเหมือนเดิมดีไหม
หรือว่าการเดินตัวเปล่าแบบนี้น่าจะดีกว่า...?