April 7, 2008

วันนี้ที่ท้องฟ้าสดใสกว่า

“แกเป็นอะไรของแกวะ ?”
“มีปัญหานิดหน่อยว่ะ”
“ปัญหาไรวะ คุยได้นะเว้ย”
“ขอบใจ แต่ไม่เป็นไรว่ะ ช่างมันเหอะ ปัญหาของเรา...เราอยากแก้เอง”
“อะไรของแกวะ จะติ๊ดส์แตกไปถึงไหนเนี่ย -*-

เมื่อหลายเดือนก่อนหน้านี้ี้ฉันและเพื่อนมักโต้ตอบกันด้วยบทสนทนาประมานนี้ทุกครั้งที่คุยกัน
และทุกทีเหมือนกันที่ฉันไม่บอกว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉัน
ฉันว่าคงเป็นเพราะฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง
ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ชีวิฉันมันน่าอึดอัด และดูเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว
หรือแม้กระทั่งตัวเองมันเกินจะทนจริง ๆ !!!

ฉันทนไม่ได้แม้กระทั่งสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ อารมณ์ฉันจะหลุดไปอย่างง่ายดาย
ตอนนั้นฉันมีความรู้สึกว่าทำไมชีวิตของฉันมันถึงได้แย่นักนะ
มีแต่ปัญหา ปัญหา แล้วก็ปัญหา แต่ไม่ยักกะมีทางแก้ปัญหา
ฉันลืมตาตื่นขึ้นทุกเช้าพร้อมความรู้สึกว่า “โอ้ถึงเวลาที่ต้องไปแบกรับปัญหาบ้าบออีกแล้วหรอ Y__Y”
แล้วทุกวันก็ผ่านไปอยางขมขื่นเลยล่ะ ชีวิตช่วงนั้นมันช่าง...สุดจะทนเลยให้ตายเถอะ
ท้องฟ้าที่ควรจะสดใสด สำหรับฉันมันกลับดูหม่นหมองชวนเศร้าทุกทีไป
หลายครั้งที่อารมณ์พาฉันทำอะไรเพี้ยน ๆ ไปเยอะเลยทีเดียว...อืม...เพี้ยนจริง ๆ (--")
เมื่อมองกลับไปมองดูตัวเองช่วงนั้น ช่างเป็นคนที่ทำตัวได้ไม่น่ารักเล๊ย
ยังโชคดีที่ฉันมีโอกาสได้เอ่ยขอโทษเพื่อน หรือคนใกล้ตัวที่ฉันทำตัวเพี้ยนใส่
โชคดีเหลือเกินที่เขาเหล่านั้นให้อภัย ถึงแม้ไม่เข้าใจว่า “ตกลงตอนนั้นมันเป็นอะไรของมัน”

จุดเปลี่ยนก็คงจะอยู่ที่ ฉันตระหนักได้ว่าอารมณ์ตัวเองมันไม่คงที่อย่างมาก
และฉันก็อ่อนไหวกับสิ่งที่เข้ามากระทบใจง่ายเกินไป
บ่อน้ำตาที่เคยแห้งมันก็กลับเต้มจนล้นเอาง่าย ๆ
...ฉันก็คิดได้ว่า ไม่ได้การแล้ว นี่มันบ้าบอชัด ๆ...!!!

ฉันได้หลบเข้าไปพักเหนื่อย พักกาย และพักใจที่เสถียรธรรมสถาน 3 วัน 2 คืนที่คุ้มค่าเหลือเกินสำหรับฉัน
ท่ามกลางธรรมชาติที่แสนสงบ (ถึงแม้ผู้เข้าร่วมสัปดาห์นั้นจะเยอะเกินไปหน่อยก็เถอะ)
ฉันได้พักใจจริง ๆ ฉันลืมเรื่องทั้งหมดที่มันเข้ามารบกนจิตใจ
ตลอดเวลามันเหมือนได้เข้าไปอยู่อีกโลกหนึ่ง โลกที่ไม่มีอะไรจะมาทำร้ายฉัน
ฉันได้ฟังธรรม ซึ่งโดยปกติก็ฟังได้ แต่คิดไม่ได้ o_O
ธรรมข้อหนึ่งที่ฉันว่ามันดีมาก ๆ สำหรับใครก็ตามที่เผชิญกับความทุกข์อยู่
คือ “ปฏิจจสมุปบาท” ซึ่งเป็นหลักที่ทำให้เราหลุดจากทุกข์ได้
เพราะทุกสิ่งอย่างเกิดขึ้นได้จะต้องมีเหตุ หากเรามองเห็นเหตุนั้นเราย่อมระงับไม่ให้เกิดได้
หากจิตของเราไม่คิดปรุงแต่งให้เกิดตัณหา เราก็จะหลุดพ้นจากวัฎจักรแห่งทุกข์
ง่าย ๆ เลยคือ “รู้เท่าทันอารมณ์”

ทุกครั้งที่ฉันเริ่มจะมีอารมณ์อะไรก็ตามต่อเหตุการณ์หนึ่ง ฉันจะทำตามคำสอนนี้
และฉันก็สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ดีขึ้น
ที่ผ่านมาตลอดเวลาไม่กี่เดือนที่ฉันเพี้ยน ๆ นั้น อาจเป็นเพราะฉันคิดปรุงแต่งไปเอง
คิดเองว่าชีวิตมีแต่เรื่องแย่ ๆ...คิดเองว่าชีวิตมีแต่ปัญหา
ปรุงจนเละตุ้มเป๊ะเลยทีเดียว (--")
แต่ฉันจะไม่กลับไปเป็นแบบนั้นอีก หากฉันรู้ตัวว่าเหนื่อย
ฉันก็จะหลบไปพักที่ไหนสักที่พักให้หายเหนื่อย
แล้วกลับมาเผชิญกับชีวิตอีกครั้ง

เวลานี้ถึงแม้ว่าฉันยังไม่รู้สึกเหนื่อย แต่ฉันก็อยากเติมพลังให้กับตัวเอง
ให้มันเต็มเปี่ยมอยู่เสมอ ๆ ด้วยเสียงเกลียวคลื่นม้วนตัวเข้ากระทบฝั่ง
เสียงใบไม้เสียดสีกันยามต้องแรงลมที่พัดเข้าหาฝั่ง
กลิ่นไอเค็มที่ลอยอบอวลท่ามกลางไอแดด
เสียงนกน้อยบินโต้ลมเล่นกันอย่างเริงร่าเหนือท้องน้ำ
เพลงแจ๊สคลอเบา ๆ กับหนังสือเล่มโปรดสักเล่ม
...ท้องฟ้าช่างสดใสมองแล้วสดชื่นดีจัง...

(Credit รูปโดยคุณ touch17)