November 7, 2010

เชียงคานกับเดทในฝันของเรา

เราไม่จำเป็นต้องหลงรักใน "อะไร" หรือ "ใคร" เพียงเพราะเขาเหล่านั้นมีอะไร

ความ "ไม่มี" อะไร ก็เป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่ง ซึ่งฉันสัมผัสได้และตกหลุมรักเข้าอย่างจัง

ฉันทำความรู้จัก "เขา" ผ่านโลกของอินเตอร์เน็ตและคำบอกเล่าของคนอื่น

เมื่อรู้สึกว่าเหมาะสมแก่เวลา ฉันก็ตัดสินใจออกไปทำความรู้จักกับ "เขา" ด้วยตัวเอง

...แล้ว "เดทแรก" ของเราก็เริ่มต้นขึ้น...


ค่ำคืนวันศุกร์มีรถราคาคั่งทั่วถนนเมืองกรุง

ฉันสะพายเป้เดินฝ่าผู้คนที่อัดแน่นชานชลารถประจำทาง

ด้วยใจที่จดจ่อถึงแต่คู่เดทที่กำลังจะได้ไปเจอ

...อีกไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น เราก็จะได้พบกันเสียที...


ความเหนื่อยล้าจากการเดินทางหายเป็นปลิดทิ้งเมื่อกวาดสายตามองเขา

บรรยากาศยามเช้าต้นฤดูหนาวช่วยเพิ่มความประทับใจแรกเห็น

สายลมเย็นและหมองจาง ๆ อ้อยอิ่งรอต้อนรับนักเดินทางจากเมืองกรุง

แดดอ่อนยามเช้าสาดแสงส่องลงมาราวกับเรียกร้องให้มองดูเขาเต็มตา

ความเรียบง่ายของเขาทำลายความรู้สึกเคอะเขินในคราวแรก

แล้วแทนที่ด้วยความคุ้นเคย ซึ่งอบอวลในหัวใจให้อบอุ่นท่ามกลางอากาศหนาว

ความประทับใจสะสมเพิ่มขึ้นทีละน้อย เมื่อได้เห็นและรู้จักเขาจากหลากหลายมุม

เข็มนาฬิกายังเดินเร็วเท่าเดิม ทว่ารู้สึกเหมือนเวลาเดินเชื่องช้าลง

ราวกับว่ามีเวลาอีกไม่จำกัดที่จะได้ใกล้ชิดกัน...ได้อยู่ด้วยกัน


ฉันตักตวงทุกความสุข...เข้ามาเติมเต็มหัวใจที่ว่างเปล่าของตัวเอง

ฉันตักตวงทุกความสงบ...เข้ามาแทนที่ความยุ่งเหยิงซึ่งครอบครองความคิด

ฉันตักตวงความเรียบง่าย...เข้ามาทลายความวุ่นวายซับซ้อนในชีวิต

ทั้งหมดนี้จากเขา...ผู้หยิบยื่นความรู้สึกดี ๆ ในช่วงเวลาดี ๆ ที่ราวกับทั้งโลกมีเพียงแค่เรา


สายน้ำโขงยามเย็นไหลช่างเอื่อย หากแต่ไม่เอื่อยเท่าย่างก้าวของเราที่ริมตลิ่ง

อาหารราคาแพงตามเมืองกรุงหาได้อร่อยเทียมเท่าอาหารธรรมดา แกล้มด้วยแสงดาวระยับฟ้ายามค่ำคืน

ดวงอาทิตย์ยามเช้าที่โผล่พ้นสายหมอกหนา เติมชีวิตชีวาให้บรรยากาศรอบตัวเรา

สายน้ำโขงยังคงไหลเอื่อยเช่นเมื่อวาน หากแต่วันนี้มันสะกิดเตือนเบา ๆ กับฉันว่า

เวลาในโลกแห่งความจริงหาได้เดินช้า เหมือนก้าวย่างอันเอื่อยเฉื่อยของเรา

อีกไม่นานความเพลิดเพลินดั่งฝันระหว่างเราจำต้องสิ้นสุดลง

แสงแดดสีส้มสาดกระทบผิวน้ำส่งสัญญาณบอกเวลาแห่งการลาจาก

ภาพเบื้องหน้า...ดวงอาทิตย์ที่กำลังอำลาลับไปหลังภูเขา

...แทนคำร่ำลาจากคู่เดทสุดวิเศษของฉัน...

แต่การจากลาสำหรับฉันก็เพื่อที่เราจะกลับมาพบเจอกันอีกครา

...มันไม่ใช่จุดสิ้นสุด หากแต่เป็นจุดเริ่มต้น...

เมื่อถึงเวลา ฉันจะกลับไปหา

เราจะมีช่วงเวลาที่ดีด้วยกันอีกครั้ง...และอีกครั้ง...และอีกครั้ง

เมื่อนั้นฉันคงได้ค้นหาตัวตนของเขาในมุมที่ต่างออกไป และสัมผัสความสุขในอีกแบบ

July 5, 2010

ชะตาฟ้ากำหนด

ในหนังสือนิยายปรัมปรา Greek Mythology ชื่อที่แสนคุ้นหูของคนเรียนวรรณคดี
มีเทพเจ้าที่ควบคุมชะตาชีวิตของเหล่ามนุษย์ทั้งหลายนามว่า “เฟธ (Fate)”
ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถหลบหลีกชะตาที่เธอกำหนดเอาไว้ได้
ถ้าหากว่าโชคชะตาของเราถูกกำหนดไว้โดยเทพเจ้าเช่นเฟธ
ฉันอยากจะขอร้องให้เธอเมตตาและตัดโชคชะตาร้าย ๆ ออกไปจากชีวิตฉันบ้าง
ก่อนหน้านี้ฉันไม่เชื่อในชะตา “ฟ้า” ลิขิต แต่เชื่อว่าชะตา “เรา” ลิขิต
ทว่ามาตอนนี้ฉันชักจะเชื่อแล้วว่า โชคชะตาของคนเราถูกกำหนดไว้โดยคนจากบนฟ้า
ถึงแม้ว่าเราจะสามารถดิ้นหลุดจากโชคชะตาร้าย ๆ ได้ในวันนี้...วันหน้ามันก็จะวกกลับมาอีก
เพราะมันคือสิ่งที่ได้ถูกกำหนดไว้แล้ว ฉะนั้นแทนที่จะคอยดิ้นรนหลบหลีกมัน
สิ่งที่ควรทำก็คือยอมรับ เผชิญหน้า แล้วข้ามผ่านมันไปให้ได้เสียตั้งแต่วันนี้

หากว่าวันนั้นฉันเลือกทำ “ฝัน” ของฉัน แล้วทิ้งภาระหน้าที่ทุกอย่างไว้ข้างหลัง
วันนี้ฉันคงกำลังนั่งนับถอยหลัง รอคอยวันที่ฉันจะได้โบยบินสู่ฝันที่ตั้งใจไว้
แต่เส้นทางนั้นของฉันคงถูกขีดขวางไว้โดยโชคชะตาที่กำหนดโดยเฟธ
เพราะหากวันนั้น “ฝัน” คือสิ่งที่ฉันเลือก วันนี้ “ภาระหน้าที่” คือสิ่งสำคัญกว่าซึ่งฉันทอดทิ้งไปไม่ได้
นั่นหมายความว่าสุดท้ายแล้วโชคชะตาก็ต้องกำหนดให้ฉันต้องทิ้ง “ฝัน” นั้นไปอยู่ดี

“ฝัน” เหมือนกรวดก้อนงามที่ฉันเฝ้างมหามาแสนนาน
“โชคชะตา” เหมือนกระแสน้ำที่จะพัดพาเอาก้อนกรวดนั้นไป
“ภาระหน้าที่” เหมือนคนที่กำลังส่งเสียงขอความช่วยเหลือ
ส่วนตัวฉันเหมือนคนที่ยืนอยู่ตรงกลาง และต้องเลือกระหว่าง
เอื้อมมือไปคว้าก้อนกรวด หรือช่วยเหลืออีกชีวิต ก่อนที่ทั้งสองจะถูกกระแสน้ำพัดพาไป
แม้จะเสียดายโอกาสที่จะได้ครองก้อนกรวดที่หามานาน แต่ฉันก็เลือกช่วยอีกชีวิตที่ติดอยู่ในกระแสน้ำ
เพราะหากจะต้องเสียอะไรไป ฉันเลือกที่จะเสียสละสิ่งที่ตัวเองปรารถนาไปในตอนนี้
เพราะเมื่อช่วย “ภาระหน้าที่” นี้ไปถึงฝั่ง ฉันก็ค่อยออกว่ายตามหากรวดนั้นได้

จนวันนี้ฉันยังจำได้ดีถึงความเสียใจที่เห็นฝันหลุดลอยไป และยังคงปล่อยใจให้ฟูมฟายกับมันในบางโอกาส
เมื่อหนำใจก็จะบอกตัวเองว่า จงสละ “ฝัน” เพราะมันรอได้ ตราบที่ยังมีแรงฉันจะว่ายตามมันไป
แล้วดูแล “ภาระหน้าที่” ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ปล่อยให้สายเกินกว่านี้ไม่ได้
ปลอบตัวเองไว้ว่ามันคือ การเสียสละเล็กน้อย...ที่ยิ่งใหญ่

April 24, 2010

ก็แค่กระดาษบาด

“ถ้าเขาไม่รักผมแล้ว ทำไมเขายังเก็บรูปผมไว้ในห้องนอนวะพี่ ?”
การเป็นศิราณีให้รุ่นน้องคนนี้ ทำให้ฉันเห็นตัวเองเมื่อ 2 ปีก่อน
“เป็นแฟนไม่ได้ ก็เป็นเพื่อนแทนดิ่วะ”
“ก็ไม่ได้อยากเป็นเพื่อนนี่หว่า เพื่อนผมมีเยอะแล้ว !” (="=)
คำตอบแบบนี้ไม่แตกต่างจากตัวฉันเมื่อ 2 ปีที่แล้ว
ก็เรื่องอะไรต้องไปเป็นเพื่อนกับคนที่ทำให้เราเสียใจล่ะ
โดนลืมยังจะดีเสียกว่า โดนเปลี่ยนจากแฟนมาเป็นเพื่อน
เพราะอย่างน้อยเมื่อนึกถึงภาพความทรงจำเก่า ๆ ก็ยังเป็นภาพที่สวยงาม

แต่เมื่อเวลาบรรเทาความเจ็บปวด ช่วยลบเลือนความโกรธแค้น
และชำระล้างความรักครั้งนั้นออกไปจากใจ
ฉันกลับไม่อยากเอาความเสียใจและความโกรธแค้นเพียงแค่ไม่กี่ปี
มาแทนที่ช่วงเวลาดี ๆ กว่า 5 ปีซึ่งเคยได้มีร่วมกันมา
วันนี้ฉันเลือกที่จะสานต่อมิตรภาพซึ่งมันจะยั่งยืนกว่าครั้งที่คบหากันฉันท์แฟน

เกือบ 2 ชั่วโมงที่ได้คุยกันแม้จะทดแทนกับที่ฉันถูกลืมไปเกือบ 2 ปีไม่ได้
แต่อย่างน้อยก็ทำให้ฉันรู้ว่าบาดแผลได้ถูกเยียวยาจนหายดีแล้ว
เพราะใจที่เคยเต้นรัวทุกครั้งที่ได้ยินเสียง ตอนนี้มันกลับสงบเหลือเกิน
เพราะความรู้สึกดีใจทุกครั้งที่เขาโทรมา ตอนนี้กลับว่างเปล่า ไม่มีทั้งดีใจหรือเสียใจ
ความเจ็บปวดที่เคยทำให้ร้องไห้ ความรักมากมายที่เคยมีให้
มันหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ฉันเองก็ไม่ทันสังเกตุ

เหมือนภาพข้างหน้าเริ่มชัดเจนหลังคละคลุ้งไปด้วยฝุ่นมากมาย
ในเมื่อความทรงจำกว่า 5 ปีมันฝังลึกเกินกว่าจะลบลืมไปได้
ฉันเลือกที่จะอยู่กับมัน และนึกถึงมันอย่างมีความสุข
ยิ่งสุขขึ้นไปอีก เมื่อสามารถแชร์วันเก่า ๆ เหล่านั้นกับคน'เคย'รักได้
การอภัยได้ปลดปล่อยฉันจากความเจ็บ ความเสียใจ และความโกรธเคือง

คงไม่ง่ายหากจะบอกให้มองแผลอกหักเป็นแผลกระดาษบาด
แต่ถ้าหากรวมความเจ็บจากความถี่ระหว่างแผลอกหักกับแผลกระดาษบาดได้
เราคงเจ็บจากอย่างหลังมากกว่าหลายเท่า เพราะแม้จะระมัดระวังเท่าไร
มือของเราก็มักจะมีรอยเลือดซิบ ๆ เพราะกระดาษบาดอยู่บ่อย ๆ
ครั้งไหนโดนบาดลึก เลือดก็ออกเยอะ ต้องทนแสบเวลาโดนน้ำอยู่หลายวัน
แต่สุดท้ายแผลก็จะค่อย ๆ สมาน และหายไป ไม่ทิ้งไว้แม้แต่รอย
ไม่ต่างไปจากแผลอกหัก ที่หากตัวเราเองไม่ไปพยายามบีบคั้นให้แผลช้ำ
ไม่นานแผลที่ใจเราก็จะค่อย ๆ รักษาตัวเองจนหายไปในที่สุด