October 24, 2007

เวลาที่ไม่เคยหยุดเดิน

ติ๊กต่อก...ติ๊กต๊อก...ติ๊กต่อก...ติ๊กต่อก...ติ๊ดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

“ขออีกสัก 10 หรือ 5 นาทีก็ยังดี ให้ตายสิ่ ขอฉันนอนอีกนิดไม่ได้หรือไง!”

“ฉันอยากอยู่กับเขานานกว่านี้จังเลย ทำไมเวลาเดินเร็วอย่างนี้ล่ะ อยากจะหยุดเวลาไว้อย่างนี้นาน ๆ จัง”

“โอ๊ย ! ปั่นรายงานไม่ทันแล้ว เวลาจ๋าเดินช้าลงอีกหน่อยไม่ได้หรอไงเนี่ย”

“เย็นวันศุกร์สักที ไปเที่ยวไหนดีหว่า...เวลาเดินเร็ว ๆ หน่อยสิ่ ฉันเบื่องานจนจะบ้าตายอยู่แล้วนะ !”

ฉันว่าใครหลาย ๆ คนคงจะเคยบ่นอะไรเกี่ยวกับเวลาเทือก ๆ นี้กันมาบ้างอย่างแน่นอน -- บ้างก็อยากจะหยุดเวลาไม่ให้เดิน บ้างก็อยากจะเร่งให้เวลาเดินเร็ว ๆ บ้างก็อยากจะดึงให้เวลาเดินช้าลง หรือบ้างก็อยากให้มีเวลาเพิ่มขึ้น แต่ในความเป็นจริงเวลาก็ยังมีจังหวะการเดินและจำนวนในแต่ละวินาทีเท่าเดิม

ฉันเคยลองคิดเล่น ๆ มันคงจะดีหากฉันสามารถควบคุมเวลาได้ ~ เวลาเช้าฉันจะขอหยุดเวลานอนต่ออีก สักวันละ 5 นาที เวลาที่ทำงานเหนื่อยจะขอหยุดเวลาพักเครียดสัก 10 นาที เวลากำลังสนุกอยู่กับเพื่อนจะ ให้เวลาเดินช้าลงหน่อย หรือให้เวลาในช่วงวันหยุดมีเพิ่มขึ้นสักเท่าตัวนึง ! O_o หากฉันทำแบบนั้นโลก ก็คงจะวุ่นวายพิลึกคุณว่ามั๊ย ?

แต่การที่เวลายังคงเดินไปตามจังหวะที่คงที่ของมัน ก็มากำหนดให้ชีวิตเราต้องเดินหน้าตามมันไปด้วย ฉันรู้สึกว่ามันเหมือนกับการที่เราวิ่งอยู่บนลู่วิ่งไฟฟ้านะ เมื่อลู่เริ่มหมุนเราก็ต้องเริ่มวิ่ง ถ้าไม่วิ่งก็จะตกลู่ ซึ่งหากทรงตัวได้ไม่ดีก็จะหกล้มบาดเจ็บได้ เวลาก็เป็นเสมือนลู่วิ่งไฟฟ้านี่แหละเพียงแต่เราปรับให้มันหมุนเร็ว หรือช้าลงตามใจเราไม่ได้ ซึ่งมันก็เป็นความยากที่เราจะต้องวิ่งไปให้ทันกับเวลาที่หมุนไป และเราก็ไม่สามารถกดปุ่มหยุดเวลาที่เราเหนื่อยอยากจะพักได้ วิ่งนานเข้าก็จะเหนื่อย แต่หากจะหยุดแล้วมองดูเวลา เดินหน้าต่อไป การจะกลับขึ้นไปวิ่งบนลู่เวลานี้ต่อก็อาจจะยากเสียหน่อยเพราะจังหวะการวิ่งที่ไม่สอดคล้องกับจังหวะการเดิน ของเวลาจะทำให้เราเสียจังหวะ เสียการทรงตัว...หกล้มลงได้

เพราะฉะนั้นสำหรับฉันเวลาจึงเป็นตัวแปรสำคัญตัวหนึ่งต่อการดำเนินชีวิตของฉันทั้งชีวิตเลยทีเดียว ฉันต้องตั้งหลักให้ดี รักษาจังหวะการวิ่งให้ดีเพื่อไม่ให้เหนื่อยเร็วจนเกินไป หรือเสียการทรงตัวจนล้มลงไป ไอ้เรื่องเหนื่อยเนี่ยมันต้องมีแน่ ๆ ใครจะไปวิ่งทันเวลาได้ตลอดล่ะ...หรือใครคนนั้นก็คงไม่ใช่ฉัน เพียงแต่ ฉันไม่อยากให้ตัวเองเหนื่อยเร็วเกินไป หรือเหนื่อยที่จะวิ่งตามเวลามากเกินไป และฉันก็ไม่อยากล้มลงระหว่างวิ่งตามเวลาด้วย ที่ผ่านมาฉันก็มีเซ ๆ ไปบ้าง แต่ก็ยังพอกลับมาวิ่งตามทันจังหวะของเวลาได้ไหว ฉันคิดว่าหากได้วิ่งไปจนชินกับจังหวะแล้ว ฉันก็น่าจะรับมือกับเวลาที่ยังคงมุ่งหน้าเดินอย่างไม่รู้จักเหนื่อย นี้ได้ไม่ยากเย็นมากมายนัก

ในเมื่อเวลายังคงหมุนไปข้างหน้า...ฉันก็ต้องก้าวเดินไปข้างหน้าเหมือนกัน

แต่ถึงจะรู้ทั้งรู้ว่าเวลาซึ่งเป็นสิ่งมีค่าและอยู่เหนือการควบคุมแล้วก็เถอะ ชีวิตที่ผ่านมาฉันก็สูญเสียเวลาอันมีค่าไปไม่ใช่น้อย

ฉันรู้สึกเสียใจอยู่บ่อย ๆ ว่าทำไม ณ ช่วงเวลานั้น ๆ ฉันถึงไม่ทำอะไรให้มันคุ้มค่ากับเวลาที่ผ่านไปทุกวินาทีนะ

และบ่อยครั้งที่ฉันมารู้สึกตัวช้าเกินไป...โอกาสที่จะทำบางสิ่งบางอย่างหลุดลอยไป...เหลือไว้เพียงความเสียใจ--ความเจ็บใจที่ต้องนั่งมองโอกาสห่างจากไปไกลทุกที ๆ ปล่อยให้ฉันจมอยู่กับคำว่า “หากเพียงแต่ฉันจะย้อนเวลากลับไปได้”

ฉันเสียเวลาในแต่ละวัน--มากบ้างน้อยบ้างตามอารมณ์--หมกมุ่นอยู่กับประโยคนี้ คิดทบทวนย้อนไปถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ฉันปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างสิ้นเปลืองทำสิ่งที่ไม่ควรทำ และจินตนาการว่าหากย้อนกลับไปได้ฉันจะทำทุกอย่างให้คุ้มค่ากับทุกวินาที...แต่เพราะฉันย้อนเวลากลับไปไม่ได้...ไม่มีใครทำได้...นี่ล่ะที่เจ็บปวด Y____Y

ฟังดูเหมือนกับฉันกำลังวิ่งไปข้างหน้าแต่หันหัวมองกลับหลังอยู่เลยนะ ด้วยเหตุนี่แหละมั๊ง ที่ทำให้ฉันต้องเซระหว่างการวิ่งตามเวลาอยู่บ่อย ๆ การจะควบคุมตังเองให้มองไปข้างหน้าขณะวิ่งอย่างเดียวนั้น สำหรับฉันมันช่างยากเย็นเสียเหลือเกินที่ผ่านมาที่ฉันทำได้คือบังคับให้หันกลับไปมองข้างหลังน้อยที่สุด...

นอกจากจะเป็นนักเดินทางที่ไม่เอาไหนแล้ว ฉันยังเป็นนักวิ่งที่ไม่เอาอ่าวอีกด้วย...

2 comments:

Odysseus said...

เราคงไม่สามารถคาดหวังว่าชีวิตเราจะคุ้มค่าทุกนาที เหมือนช่องสามโฆษณาชวนเชื่อได้(ซึ่งแม้ว่าจะพิสูจน์แล้วว่ามันไม่ได้คุ้มค่าทุกนาที แต่ค่าไฟนี่เสียทุกนาทีแน่นอน...)

ประเด็นคงไม่ได้อยู่ที่การใช้เวลาให้ดีอย่างยิ่งยวด แต่คงอยู่ที่ความสมดุลชีวิตของสิ่งที่ทำกับตัวตนที่เป็น...

ดังพุทธประวัติ ในเรื่องพิณสามสาย ตึงไปดีดก็ขาด หย่อนไปดีดไม่ได้ พอดีๆเสียงถึงจะออกมาไพเราะ

เข้าใจตนเองและดำเนินชีวิตในจังหว่ะที่ตัวเองคิดว่ามีความสุข กับเวลาที่มี จริงอยู่การให้ความสำคัญกับเวลาที่เหลือนั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าเรานำเวลามาเป็นตัวแปรสำคัญเหนือความสุข ความเป็นตัวตนของตัวเองแล้ว สุดท้าย...สิ่งที่ได้อาจไม่คุ้มเสีย

Anonymous said...

เราว่า...
ถ้าลองเปลี่ยนจากการ "วิ่ง" มาเป็น "เดิน" บ้าง
บางที...เปอร์เซ็นต์ในการ "เซ" อาจจะลดลงก็ได้นะ ^_^

Pooja